Germany & France VS Japan ในมุมมองของ JeeJapan.LifeStyle

จี้กลับมาจากฮันนีมูนแล้วค่าา~~ สนุกมากกกกกกกก อยากหนีไปอยู่ ไม่อยากทำงานแล้ว 555555
ก่อนที่จี้จะเขียนรีวิวแต่ละวันให้ จี้ขอเขียนสรุปก่อนนะคะ

เมื่อเปรียบเทียบประเทศเยอรมันและฝรั่งเศส กับ ประเทศญี่ปุ่น
ผิดถูกตรงไหนบอกได้นะคะ ใครรู้ก็มาแชร์กันค่าา

11403264_415252105333765_3396866750414008635_n

Germany & France VS Japan

♥♥ 1. ร้านส่วนมากไม่รับแบงค์ 500 ยูโร เพราะไม่มีทอน!
แบงค์ 500 ยูโร ถือว่าเป็นแบงค์ที่ใหญ่ที่สุด
เปรียบเป็นแบงค์พันเมืองไทย หรือ แบงค์หมื่นญี่ปุ่นก็ได้ค่ะ
แต่ว่าแบงค์ 500 ยูโร 1 ใบคิดเป็นมูลค่าเท่ากับประมาณ
2 หมื่นบาทไทย หรือ 70,000 เยนเลยทีเดียว
ดังนั้นจึงหาที่แลกแบงค์นี้ยากมาก ต้องซื้อของเยอะจริงๆ ขนาดซื้อเยอะแล้ว
เขายังมองหน้าเลยก้าา สงสัยกลัวเราเอาแบงค์ปลอมไปให้มั่ง แง่มๆ

♥♥ 2. สั่งน้ำเปล่าที่เยอรมัน (ส่วนใหญ่)จะได้น้ำโซดา
ตอนเข้าแถวเช็คอินก่อนบิน มีผู้ชายญี่ปุ่นหอบน้ำเปล่าขวดเล็ก 500 ml. ไปถึง 5 ขวด!
ตอนแรกก็คิดว่า เหยย น้ำที่เยอรมันคงจะแพงมากสินะ ที่ไหนได้เพ่
เข้าร้านอาหารที่ไหนๆ พอสั่งน้ำเปล่า ไม่ว่าจะ Water, please ก็แล้ว Tap water, please ก็แล้ว
ก็ได้มาแต่น้ำโซดาจ้าาาาา เขาบอกว่ามีแต่น้ำแบบนี้นะ
จี้กับสามีเลยต้องหาซื้อน้ำเปล่าตามร้านสะดวกซื้อ
ก็ไม่วายได้น้ำโซดากลับมาอีก แถมซื้อขนาด 2 ลิตรมาด้วย โง่ขนาดด
อยากจะเขวี้ยงทิ้งทันทีที่ดื่มเลยทีเดียว แต่ด้วยความงก
ต้องทนดื่มน้ำโซดาไปตลอด 3 วันกว่าจะหมด…….
และไปซื้อใหม่ก็ได้น้ำโซดาอีก เอิ่มม……
สรุป ดื่มน้ำโซดาตลอด 5 วันในเยอรมัน ขยาดเลย…. TTOTT

♥♥ 3. เข้าร้านอาหารแล้ว ไม่ต้องรีบร้อนขอเมนู
ถ้าเป็นที่ญี่ปุ่นแล้ว เมื่อลูกค้าเข้าร้าน พนักงานจะกระตือรือร้นมาต้อนรับที่หน้าร้าน
และพาลูกค้าเข้าไปที่นั่งตามที่จัดไว้ หลังจากนั้นก็จะนำเมนูอาหารมาให้ทันทีที่โต๊ะ
แต่ใน 2 ประเทศนี้ เราสามารถเดินเข้าไปเลือกที่นั่งได้เลย เหมือนเมืองไทย
และพนักงานจะรอจนกว่าเราจะผ่อนคลาย(?)แล้วถึงจะเอาเมนูมาให้ที่โต๊ะค่ะ
ตอนเข้าร้านอาหารแรกๆก็คิดว่าพนักงานไม่สนใจโต๊ะชั้นเลยนะยะ โบกมือตั้งหลายรอบไม่มาสักที
พอสังเกตไปหลายๆร้าน หลายๆโต๊ะก็เริ่มเข้าใจว่าน่าจะเป็นธรรมเนียมของเขานั้นเอง

♥♥ 4. Check, please พนักงานจะมาพร้อมกระเป๋าเงินสีดำ
ร้านอาหารในประเทศเยอรมัน เมื่อเราบอกให้เก็บเงิน
พนักงานจะถือกระเป๋าเงินสีดำ (ต้องดำด้วยนะ แถมแบบเดียวกันด้วย) พร้อมใบเสร็จมาที่โต๊ะ
ตอนแรกก็งงๆว่าจะเอากระเป๋าเงินมาทำอะไร พนักงานเดินถือกระเป๋าเงินกันหรอ 5555
ที่แท้เอามาเพื่อทอนเงินนั้นเองค่ะ คือจ่ายตรงที่นั่ง รับเงินทอนตรงที่นั่งได้เลย
เป็นแบบนี้ทุกร้านที่จี้เข้าไปทานอาหารเลย! คิดว่านี่ก็เป็นธรรมเนียมของประเทศนี้นะ

♥♥ 5. ไม่ว่าโรงแรมจะกี่ดาวก็ไม่มีแปรงสีฟันและหวีให้ แต่มีตะไบเล็บให้!
ตอนแรกสามีคิดว่ามันต้องมีให้พร้อมเหมือนญี่ปุ่นสิ โรงแรมที่เราพักก็ไม่ใช่กระจอกๆนะ
แหม่ พอสามีเจอโรงแรมคืนแรกเข้าไป ฮึ ชั้นบอกแล้วก็ไม่เชื่อ
โชคดีที่จี้แอบเตรียมมาให้ทั้งหมด ไม่งั้นต้องหาซื้อแปรงสีฟันแน่นอน
แต่ แต่ แต่ เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น เมื่อจี้ลืมหวีทิ้งไว้ที่โรงแรมคืนแรก!
ตอนแรกก็มีความหวังคิดว่า เอ้ออ เราพักโรงแรม 5 ดาวตั้งหลายคืน คงมีให้สักที่ล่ะ
ที่ไหนได้…ชั้นไม่ได้หวีผมตลอดทริปเลยจ้าาาา ใช้มือสางๆไปเท่านั้นล่ะ แง~ TTOTT
แต่สงสัยมาก ทำไมโรงแรมเกือบทุกที่ถึงมีตะไบเล็บให้อะ
ทั้งๆที่แปรงสีฟันและหวี สำคัญกว่ามากๆ ยังไม่มีเลยนะ
หรือเพราะ ความสำคัญของเราไม่เท่ากันสินะ ฮะๆ (หัวเราะทั้งน้ำตา TTOTT)

♥♥ 6. แก้วน้ำในร้านอาหาร จะมีเส้นขีดบอกปริมาณน้ำที่ควรเสริฟ์อย่างชัดเจน
อันนี้แปลกดี แต่เป็นมาตรฐานของร้านอาหารเขาเลยล่ะค่ะ
คือ ต้องรินน้ำให้ตรงหรือกับเกินเส้นขีดนั้น
ถ้ารินน้ำไม่ถึงเส้นแล้วเสริฟ์ให้ลูกค้าล่ะก็ ลูกค้ามีสิทธ์โวย เพราะเหมือนร้านโกงลูกค้าเลยล่ะค่ะ อูวว

♥♥ 7. ไม่ว่าจะขึ้นหรือลงรถไฟต้องกดเปิดประตูเอง
ปกติแล้วไม่ว่าจะที่ไทยหรือญี่ปุ่น ประตูรถไฟจะเปิดให้อัตโนมัติเมื่อถึงชานชาลา
แต่ที่นี่ต้องกดเปิดประตูรถไฟเองนะ!
ตอนจี้เห็นก็งงๆว่า อ้าว ทำไมประตูนี้ไม่เปิด อีกประตูเปิดล่ะ
ต่อไปก็ลองสังเกตดู ทำให้รู้ว่า เราต้องเปิดประตูรถไฟเอง
จะเปิดบานซ้ายบานเดียวก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเปิดทั้ง 2 บานด้วย
มีทั้งแบบเป็นปุ่มกดเหมือนออด และ แบบคันโยก คือมันเจ๋งมากๆอะค่ะ
สามีบอกว่าที่ญี่ปุ่นเองก็มีนะ แต่มีค่อนข้างน้อย
สาเหตุที่ยุโรปมีทุกขบวน เป็นเพราะว่าอากาศหนาวจัด
เขาจึงออกแบบประตูแบบเปิดปิดโดยคนเอง
เพื่อว่าถ้าไม่มีคนลงหรือขึ้นรถไฟ อากาศหนาวจะได้ไม่เข้ามายังขบวนรถค่า
แต่บางทีก็แอบอันตรายนิดนึง แบบว่ารถไฟยังไม่ทันจอดสนิทเลย
เขาเปิดประตูลงกันแว้วอะ 5555555555 แต่ตอนรถไฟวิ่งอยู่ประตูล็อคนะคะ (เดาเอาล้วนๆ 55555)

♥♥ 8. รถไฟในประเทศเยอรมัน ไม่มีช่องตรวจตั๋ว
ครั้งแรกที่ขึ้นรถไฟใเยอรมัน หลังจากซื้อตั๋วขึ้นรถไฟแล้ว ก็เดินหาชานชาลากัน
เดินไปเดินมา อ้าววว เจอรถไฟแล้วว ยังไม่ทันได้เสียบตั๋วเลย 555555
ก็คิดว่า เขาคงเดินตรวจในขบวนล่ะ แต่ที่ไหนได้
ไม่เจอพนักงานสักคนเดินมาตรวจตั๋วเลยล่ะค่ะ
เห็นได้เลยว่า คนเยอรมันค่อนข้างเชื่อใจคนในประเทศตัวเองมากๆ
แต่ถ้านั่งรถไฟข้ามเมือง หรือ ข้ามประเทศ เช่น TGV, ICE
มีพนักงานตรวจตั๋วตลอดนะคะ อย่าทำตั๋วหายกันล่ะ

♥♥ 9. ผิดกับประเทศฝรั่งเศสที่มีที่กั้นแน่นหนามาก ทั้งตอนเข้าและออก
ประตูกั้นหรือตรงที่ตรวจตั๋ว (เสียบตั๋ว) เหมือนเมืองไทยและญี่ปุ่น แต่ดูแน่นหนากว่ามากค่ะ
ทางออกก็ค่อนข้างมิดชิด กำแพงปิดจากล่างถึงบน คือ มองไม่เห็นอีกด้านเลย ถ้าไม่ได้เปิดประตูออกไป
รถไฟใต้ดินที่ฝรั่งเศสค่อนข้างน่ากลัวมาก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเยอรมันหรือประเทศญี่ปุ่น
น่ากลัวทั้งบรรยากาศ ที่มีคนแปลกๆเยอะ และสภาพรถไฟที่ค่อนข้างเก่า
วิ่งอยู่ในอุโมงค์อีกทำให้อึมครึมยังไงไม่รู้

♥♥ 10. เมื่อขึ้นบันได ส่วนมากยืนชิดขวา เดินชิดซ้าย
อันนี้ก็เป็นระเบียบสากลโลกไปแล้ว ที่จะต้องเปิดทางเดินไว้สำหรับคนที่รีบ
แต่จะซ้ายหรือจะขวานั้นแล้วแต่ประเทศค่ะ
เยอรมันและฝรั่งเศส จากที่จี้สังเกตจะยืนชิดขวากัน ไม่ก็ยืนกันทั้งขวาซ้ายเลย 555555
แต่คนยุโรปไปค่อยรีบร้อนกันเท่าไหร่ ดูเรื่อยๆสบายๆ
ไม่ค่อยมีคนเดินขึ้นบันไดกันเท่าไหร่
ไม่เหมือนคนญี่ปุ่นที่ทำอะไรก็ดูรีบร้อนตลอดเวลา ทั้งวิ่งทั้งเบียด 55555

รีวิวคร่าวๆระหว่างประเทศเยอรมันและฝรั่งเศสจบไปแล้ว
ต่อไปจะมารีวิวของจริงพร้อมรายละเอียดเน้นๆรูปแน่นๆ 55555555
ติดตามกันนะค๊าาา >___________<

Leave a Reply